วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2564

7 Steps to Turn Your Dreams into Goals and Achieve Them



  การทำความใฝ่ฝันให้เป็นจริงใน 7 ขั้นตอน

          คนเรามักมีความใฝ่ฝันที่จะทำบางสิ่งซึ่งมีความหมายในชีวิตของตนให้สำเร็จ เช่น อยากเขียนหนังสือที่มีคนอ่านจำนวนมาก, เล่นเครื่องดนตรีที่ชื่นชอบเป็นพิเศษให้เก่งจนออกงานได้, ทำธุรกิจของตนเองให้มั่นคงมีกำไร, หรือประสบความสำเร็จถึงจุดสูงสุดในชีวิตการทำงาน แต่ความคิดฝันเหล่านั้น คิดอย่างไรก็คงจะอยู่อย่างนั้นไปจนกว่าจะเริ่มลงมือทำ เหตุผลที่คนส่วนใหญ่ไม่เริ่มที่จะทำอะไรก็มาจากการถอดใจและดูถูกตนเองตั้งแต่แรกว่าทำไปก็ไม่มีทางสำเร็จ โทษโชคชะตาฟ้าดินว่าไม่ประทานพรสวรรค์มาให้เหมือนคนอื่น วัน ๆ ได้แต่นั่งถอนใจ หงุดหงิดหัวเสีย ปล่อยตัวให้จมอยู่กับความสิ้นหวังและด่าทอโทษทุกสิ่งที่เกิดกับตนว่าเป็นชะตากรรมที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งก็มีความไฝ่ฝันที่จะเป็นโน่นเป็นนี่หรือทำโน่นทำนี่เช่นกัน แม้จะไม่ค่อยมั่นใจในความสำเร็จมากนัก แต่แทนที่จะงอมืองอเท้า พวกเขากลับเลือกที่จะรับผิดชอบชีวิตของตนเอง ไม่ปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตา

          หากคุณต้องการเป็นคนกลุ่มที่สามารถเปลี่ยนฝันให้เป็นจริง ลองศึกษาและปฏิบัติตามขั้นตอนทั้งเจ็ด ต่อไปนี้

1. อย่าจมอยู่กับความสิ้นหวัง เริ่มสร้างเป้าหมายให้ชีวิต (Keep your eyes open)

     1.1 ไม่จมอยู่กับความผิดหวัง (sit idle) จะต้องกล้าเผชิญกับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

     1.2 ไม่หยุดแสวงหาโอกาส ควรออกไปพบเพื่อนฝูงและสังคม เรียนรู้สิ่งที่คุณอาจขาดหายไป ทุกคนล้วนมีความใฝ่ฝันหรือความฝันของตนเอง และบ่อยครั้งที่ความฝันนั้นจะมีส่วนที่คล้ายกัน การแลกเปลี่ยนความคิด ประสบการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่มีความฝันคล้ายกัน จะเป็นประโยชน์อย่างมาก คนเราส่วนใหญ่ชอบเล่าความสำเร็จว่าเป็นผลจากความสามารถของตน คุณควรตั้งใจเรียนรู้และศึกษาปัจจัยความสำเร็จเหล่านั้น สำหรับความล้มเหลว ส่วนใหญ่จะโทษปัจจัยภายนอก ข้อมูลที่ได้รับมาทั้งหมดอาจมีทั้งความจริงและการคุยโม้ คุณควรเลือกรับมันด้วยความระมัดระวังและกลั่นกรองตามหลักเหตุผล

     1.3 กำหนดเป้าหมายที่เป็นความใฝ่ฝันของคุณ การใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ แบบไม่มีเป้าหมายอาจให้ความสุขแก่คุณได้ในช่วงสั้น ๆ เพราะไม่มีภาระหรือเรื่องให้ต้องคิด แต่เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะรู้สึกว่าคุณกำลังใช้ชีวิตที่ไร้ความหวังและไร้ทิศทางที่จะไป เริ่มอิจฉาคนอื่นที่ก้าวไปได้ดีกว่า จับแพะชนแกะสะเปะสะปะไปกับสิ่งที่คิดว่าจะช่วยให้หลุดพ้นจากความอึดอัด ในขณะเดียวกันกลับต้องพึ่งพาความช่วยเหลือหรือความอนุเคราะห์จากผู้อื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ เป้าหมายจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่คุณจะต้องมี มันจะช่วยให้คุณรู้สึกมีความหวัง มีเส้นทางที่จะก้าวเดิน มีความกระตือรือร้นที่จะทำมันให้สำเร็จ ถ้าคุณลองจินตนาการความสุขที่จะได้รับถ้าเป้าหมายนั้นประสบความสำเร็จ คุณจะพบว่าการสร้างภาพขึ้นในจิตใจ (visualization) เป็นเครื่องมือซึ่งมีอานุภาพ มันเหมือนแสงสว่างที่ส่องไปในที่มืด ที่สำคัญคือความฝันและเป้าหมายนั้นจะต้องยิ่งใหญ่และมีความสำคัญกับคุณมากพอที่คุณจะไม่ยอมทิ้งมันไปไม่ว่าจะมีปัญหาอุปสรรคมากมายเพียงใด

2. วางแผนที่จะทำความฝันให้เป็นจริง (Make plans)

          ความฝันเปรียบเหมือนแก้วบางที่แตกง่าย แผนงานเปรียบเหมือนเกราะที่ห่อหุ้มป้องกันแก้วจากความเสียหาย แผนงานจะเปลี่ยนความฝันและเป้าหมายของคุณจากภาพกว้าง ๆ ให้เป็นขั้นเป็นตอนที่ชัดเจนขึ้น

     2.1 เขียนเป้าหมายที่ต้องการจะได้หรือจะเป็นให้ชัดเจน

     2.2 ประเมินทักษะและความรู้ที่จำเป็นต้องมีต้องใช้ ประเมินตนเองว่ามีความรู้และทักษะเหล่านั้นหรือไม่ จะปรับปรุงเพิ่มเติมอย่างไร จะต้องทำอะไรบ้างจึงจะทำให้ความฝันนั้นสำเร็จ

     2.3 สำรวจแหล่งที่สามารถพัฒนาหรือเพิ่มพูนความรู้ ความสามารถ และทักษะที่ต้องการได้ดีที่สุด แหล่งที่ว่านั้นอาจเป็นการศึกษาต่อในสถาบันการศึกษา การเข้ารับการฝึกอบรมที่องค์กรจัดให้ การพัฒนาความสัมพันธ์กับเพื่อน ผู้ร่วมงาน หรือบุคคลที่สามารถให้คำแนะนำ แล้วสร้างแผนการเรียนรู้ (learning agenda) ของตนขึ้นมา

     2.4 สร้างแผนรายเดือน และกิจกรรมย่อย (snapshot) ที่จะต้องทำเป็นรายวัน รายสัปดาห์ แผนนั้นจะต้องสอดคล้องกับความเป็นจริงและสามารถทำให้สำเร็จได้ อย่าเริ่มที่กิจกรรมที่ง่ายที่สุดหรือยากที่สุด แต่ควรจัดลำดับความสำคัญของคุณค่าที่กิจกรรมนั้นจะสร้างความสำเร็จให้กับคุณ แล้วเริ่มที่สิ่งนั้น

     2.5 ทำตามแผนนั้นทุกวัน ไม่ว่าความก้าวหน้าจะมีเล็กน้อยเพียงใดก็ยังดีกว่าการปล่อยชีวิตให้ผ่านไปวัน ๆ หรือผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ๆ อย่ามองแต่ภาพใหญ่ ของเป้าหมาย ขอให้เน้นไปที่เป้าหมายเล็กในแต่ละวัน ลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ อย่ามีเงื่อนไขใด ๆ ในการปฏิบัติหรือรอว่าต้องได้ผลงานเป็นกอบเป็นกำจึงค่อยทำ การสร้างความฝันให้เป็นจริงเป็นเรื่องของการเดินทาง ไม่ใช่การวิ่งแข่ง

3. ตั้งใจให้มั่นและสร้างแรงบันดาลใจให้กับตนเอง (Get inspired)

          ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างผู้ล้มเหลวและผู้ประสบความสำเร็จ คือความมุ่งมั่นตั้งใจ (will)

     3.1 มุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำตามแผนงานที่สร้างขึ้นมา เมื่อใดที่คุณมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำ คุณจะกลายเป็นผู้กำหนด (cause) ชีวิตของตัวคุณ ไม่ใช่ผู้รับผล (effect) ที่จะเกิดกับชีวิต ความมุ่งมั่นตั้งใจจะทำให้คุณกล้าที่จะทำความฝันให้เป็นจริง เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส เปลี่ยนคำถามที่ว่า “เราจะทำได้จริงหรือ” เป็นคำยืนยันว่า “เราทำมันได้”

     3.2 อย่าวนเวียนอยู่กับความรู้สึกที่บั่นทอนจิตใจ เช่น ฉันยังเด็กเกินไป, ฉันมันแก่เกินไป, ไม่มีเวลา, ไม่มีเงิน, ฉันทำไม่ได้ ฯลฯ จงมีความเชื่อว่า การลงมือทำจะสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น อย่ารอให้มีความเชื่อมั่นแล้วค่อยทำ

     3.3 สร้างแรงบันดาลใจให้กับตนเอง ไม่ว่าคุณจะมีฝันนั้นมานานเท่าไร หรือมีความมุ่งมั่นเพียงใดที่จะทำให้ฝันนั้นสำเร็จ สถานการณ์แวดล้อมอาจทำให้คุณถอดใจหรือมองหาตัวเลือกอื่นซึ่งน่าจะประสบความสำเร็จได้ง่ายกว่า ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า การจับโน่นนิดจับนี่หน่อยพอให้รู้สึกว่าได้ทำ แล้วก็หยุดไป ก็เท่ากับว่าคุณได้ทิ้งทุกสิ่งที่ทำมาให้สูญเปล่า จงอย่าปล่อยให้ความฝันของคุณอึมครึมอยู่อย่างนั้น แต่จะต้องปลุกมันให้สว่างจ้าด้วยการสร้างแรงบันดาลใจให้กับตนเอง ขอให้เล่าความฝันของคุณให้คนพิเศษในชีวิตของคุณซึ่งอาจเป็นพ่อ, แม่, คนรัก, ครู ฯลฯ ได้ทราบเพื่อสร้างพลังให้กับสิ่งที่คุณกำลังปฏิบัติ หากคุณเก็บความฝันของคุณเอาไว้คนเดียวหรืออายแม้แต่จะเปิดเผยให้คนพิเศษของคุณรู้ ก็เป็นไปได้อย่างมากที่คุณจะสลัดความฝันนั้นทิ้งไปได้ทุกเมื่อเพราะมันเป็นความลับที่มีคุณเท่านั้นที่รู้ เมื่อใดก็ตามที่คุณมีคนพิเศษในชีวิตที่รู้ถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ของคุณอยู่เบื้องหลัง เขาหรือเธอผู้นั้นจะเป็นพลังสนับสนุนที่สำคัญที่คอยให้กำลังใจและคำแนะนำที่จริงใจทุกครั้งที่คุณท้อถอยหรือผิดพลาด  

4. ไม่ท้อถอยคือการสร้างโอกาสแห่งความสำเร็จ (Look for opportunities)

     4.1 ลงมือทำ คุณอาจมีข้ออ้างสารพัดว่าทำไมไม่อยากทำฝันให้เป็นจริง เช่น ไม่มีเวลา ไม่อยากหวังอะไรมาก ทำไปก็เท่านั้น ฯลฯ แต่ความจริงที่ชัดเจนยิ่งกว่าข้ออ้างใดก็คือ ถ้าไม่ทำก็ไม่มีทางจะสำเร็จ ความฝันจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อใช้ความพยายามอย่างมากในการทำตามแผนเท่านั้น

     4.2 อดทนต่อปัญหาอุปสรรคและยอมรับความผิดพลาดหรือการไม่เกิดผลในสิ่งที่ได้ทำมา การท้อถอยถอดใจนำไปสู่การยกเลิกสิ่งที่ตั้งใจ วิธีการอาจเปลี่ยนได้ เรียนรู้เพื่อปรับปรุงแก้ไขได้ แต่เป้าหมายไม่ควรเปลี่ยน เมื่อใดที่คุณยังลุกขึ้นมาสานฝันต่อแม้จะล้มมาสักกี่ครั้ง คุณก็ยังมีโอกาสที่จะสำเร็จ อนาคตจะเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ยาก มีปัญหาอุปสรรคมากมายที่ขัดขวางเส้นทางเดินของชีวิต แต่มันก็จะอยู่เพียงชั่วคราว หน้าที่ของคุณคือ อย่าหยุดที่จะทำ คุณจึงจะมีโอกาสผ่านปัญหาอุปสรรคนั้นไปได้ ถ้าคุณหยุดเมื่อไร โอกาสสำเร็จก็จะหยุดลงไปด้วย

     4.3 หมั่นตรวจสอบสภาพร่างกายและจิตใจตนเอง (self-care) การไม่ยอมหยุดที่จะทำตามแผนไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่ยอมหยุดพักสมองเพื่อเติมเต็ม (recharge) สิ่งที่ร่างกายได้ใช้ไป การรู้จักผ่อนคลายบ้างจะช่วยให้ร่างกายสดชื่นและสมองแจ่มใส พร้อมที่จะก้าวต่อไปในเส้นทางแห่งความสำเร็จ แต่ละคนมีวิธีการพักที่แตกต่างกัน จงเลือกวิธีที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

5. สร้างความคิดบวกและฟังแต่ความคิดนั้น (Listen to yourself)

          ชีวิตในวันพรุ่งนี้ของคุณจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณได้ทำในวันนี้ ความคิดที่กรอกอยู่ในหัวของคุณ เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของตัวคุณ

     5.1 สร้างความคิดบวกว่าคุณคือผู้มีความรู้ มีความเข้มแข็ง มีความกล้าหาญ เต็มไปด้วยความฝันที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จได้ ความคิดเหล่านั้นจะบอกกับคุณว่าคุณควรจะทำอย่างไร แต่ถ้าคุณคิดแต่เรื่องที่เป็นลบ จิตใจเศร้าหมองหดหู่ มีแต่อารมณ์กราดเกรี้ยวฉุนเฉียว คงไม่ต้องบอกว่าคุณจะมีพฤติกรรมต่อการใช้ชีวิตอย่างไร คุณสามารถกำหนดชีวิตของคุณได้ด้วยการกวาดความคิดลบทิ้งและคิดบวกกับชีวิต

     5.2 ซื่อสัตย์กับตนเอง มั่นคงกับความคิดและความตั้งใจของตนเอง อาจมีคนมากมายมาพูดให้คุณท้อหรือเสียกำลังใจ หรืออาจมีความคิดลบของคุณที่แทรกเข้ามาบอกคุณเป็นครั้งคราวว่าเลิกได้แล้ว เหนื่อยมามากแล้ว ฯลฯ อย่าปล่อยให้ความขี้แพ้เหล่านั้นมาขัดขวางเส้นทางความสำเร็จของคุณ

     5.3 เฉลิมฉลองชัยชนะให้กับความสำเร็จในเป้าหมายเล็ก ๆ ซึ่งจะให้ความรู้สึกถึงความก้าวหน้าเข้าสู่เป้าหมายใหญ่ของคุณ ไม่ว่ามันจะเป็นก้าวที่เล็กน้อยเพียงใดก็ตาม

6. อย่าให้ความกลัวมาเป็นอุปสรรค (Do not get scared)

     6.1 กลัวได้ แต่ต้องกล้าที่จะทำ ความกลัวเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้คุณไม่สามารถไปต่อ แต่หากคุณก้าวข้ามมันได้ คุณจะรู้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ทุกคนที่กล้าทำความฝันให้เป็นจริงล้วนมีความกลัวเป็นจุดเริ่มต้นทั้งสิ้น ความไม่แน่นอน อุปสรรคที่มองไม่เห็น ล้วนเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่จะประสบความสำเร็จได้อย่างไรหากเมื่อกลัวแล้วก็ไม่กล้าที่จะพยายาม ไม่กล้าที่จะทำอะไรที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ

     6.2 สร้างอารมณ์ขันให้กับตนเอง อารมณ์ขันไม่เพียงช่วยให้คุณผ่อนคลายจากปัญหาที่รุมล้อม แต่ยังช่วยให้คนที่อยู่รอบข้างคุณมีความสุข พร้อมที่จะอยู่ข้างคุณหรืออย่างน้อยก็ไม่ทำให้ปัญหาและอุปสรรคที่กีดขวางความสำเร็จดูน่ากลัวขึ้นกว่าเดิม

7. ให้ถือความผิดพลาดเป็นบทเรียน (Fail)
          ความล้มเหลว ผิดพลาด หรือไม่เห็นผลสำเร็จใด ๆ เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในช่วงแรกของการปฏิบัติ

     7.1 ค้นหาโอกาสความผิดพลาดเหล่านั้นตั้งแต่เริ่ม รู้จักมันก่อนที่มันจะทำร้ายคุณ เมื่อใดที่คุณพบกับความผิดพลาดล้มเหลวไม่ว่าจะได้เตรียมใจไว้ล่วงหน้ามาก่อนหรือไม่ก็ตาม ขอให้ถือว่านั่นคือบทเรียนที่จะต้องเรียนรู้และหาวิธีแก้ไขที่เหมาะสม

     7.2 อยู่กับปัจจุบัน ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะย้อนคิดถึงอดีต จงพยายามนึกถึงอดีตที่ประสบความสำเร็จมาเป็นแรงผลักดัน และนำอดีตที่ผิดพลาดล้มเหลวมาเป็นเครื่องเตือนใจไม่ให้ทำผิดซ้ำ

          บทความนี้ไม่ได้สนับสนุนให้คุณดันทุรังทำในสิ่งที่ผิดพลาดต่อไปเรื่อย ๆ แต่ต้องการให้คุณไม่ยอมแพ้ที่จะก้าวต่อไปด้วยหนทางและวิธีการแก้ไขที่ได้เรียนรู้ จนประสบความสำเร็จได้ในที่สุด

          บทความที่เกี่ยวข้องซึ่งขอแนะนำให้อ่านประกอบ

   · 4 Phases for Learning New Skills
   · Action Planning
   · Escalation of Commitment
   · Fear of Success
   · Goal Setting
   · Inbox In-Tray Assessment 
   · Overcoming Fear of Failure

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น