วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2563

คุณสมบัติและทักษะที่จำเป็นของผู้นำ

          ตามแนวคิดแบบเก่า คนที่จะมาเป็นผู้นำที่ดี จะต้องเป็นผู้มีพรสวรรค์หรือมีแววมาตั้งแต่เล็กอย่างที่เรียกว่า เกิดมาเพื่อเป็นผู้นำเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง คิดบวก รู้จักถ่อมตัว ทำงานให้หนักด้วยความรับผิดชอบ ก็สามารถเป็นผู้นำที่ดีกันได้ทุกคน

          ผู้นำจะมีความหมายแตกต่างออกไปในแต่ละสถานการณ์ อาจเป็นนักการเมือง นักธุรกิจ ผู้นำชุมชน ผู้นำทางศาสนา ผู้นำการต่อสู้ หรืออาจเป็นคนที่เรารู้จักเป็นการส่วนตัว เช่น หัวหน้า ครู เพื่อน แม้แต่ตัวคุณเองก็สามารถปรับสถานะขึ้นเป็นผู้นำได้ ผู้นำเกิดจากการยอมรับของผู้อื่น คุณจะเป็นผู้นำได้อย่างไรถ้าไม่มีใครต้องการหรือยินดีที่จะตาม

   การเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จ ต้องมีคุณสมบัติและทักษะหลายประการ แต่ในบทความนี้จะกล่าวถึงคุณสมบัติเพียง 2 ประการและทักษะ 4 ประการซึ่งเป็นหัวใจในความสำเร็จ สำหรับทักษะอื่นซึ่งเป็นส่วนสนับสนุน เช่น การบริหารเวลา การพูดในที่ชุมชน ฯลฯ จะเขียนในบทความที่แนะนำให้อ่านประกอบเพราะมีรายละเอียดค่อนข้างมาก

          คุณสมบัติ 2 ประการที่จำเป็นของผู้นำ ได้แก่

1. อุปนิสัย (Personal Characteristics)
               ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีอุปนิสัยสำคัญสองประการ คือ มีความเชื่อมั่นในตนเอง และเป็นผู้มองโลกในแง่ดี ผู้มีความเชื่อมั่นในตนเองมักจะสามารถดึงดูดใจผู้อื่น คนเรามักชอบอยู่ใกล้ๆ ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตนเองและชื่นชมในสิ่งที่ผู้นั้นปฏิบัติ ถ้าคุณเป็นผู้ที่คิดบวก มองโลกในแง่ดี และพยายามทำให้ดีที่สุดในทุกสถานการณ์ คุณจะรู้สึกว่าการจะจูงใจผู้อื่นให้พยายามทำให้ดีที่สุดอย่างที่คุณกำลังทำอยู่ ไม่เป็นเรื่องที่ยากเย็นแต่อย่างใด
        
     1.1 มีความเชื่อมั่นในตนเอง (Self Confidence)
               ความเชื่อมั่นในตนเองเกิดขึ้นจากการมีทักษะในการเอาชนะสถานการณ์ที่เป็นอยู่โดยเชื่อว่าตนสามารถเพิ่มคุณค่าที่แท้จริงเข้าไปในสถานการณ์นั้นได้ วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการปรับปรุงความเชื่อมั่นในตนเองก็ด้วยการนึกถึงสิ่งที่เราได้เคยทำสำเร็จมาในอดีต ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญหรือไม่ก็ตาม ขอเพียงเป็นสิ่งที่เคยสร้างความภาคภูมิใจของตนเอง การหวลระลึกถึงความสำเร็จในอดีตจะทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้นและอ่อนแอน้อยลง ผู้มีความเชื่อมั่นในตนเองจะไม่มีความลังเลสงสัยในความสามารถของตนเองที่จะทำการให้สำเร็จ มีความรู้สึกจูงใจสูงเพราะรู้ว่าตนเองมีคุณสมบัติที่จะประสบความสำเร็จได้

     1.2 คิดบวก (Positive Attitude and Outlook)
               
การมองโลกในแง่ดีเป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งของผู้นำที่แข็งแกร่ง การคิดบวกเป็นอะไรที่มากไปกว่าการแสดงหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใสให้คนเห็น ผู้นำจำเป็นต้องสร้างความรู้สึกที่สมดุลทั้งต่อโอกาสของความสำเร็จและต่อปัญหาที่จะเข้าแก้ไข มิฉะนั้นแล้วอาจพลาดโอกาสหรือกลายเป็นความประมาทไปได้โดยง่าย วิธีการเข้าจัดการกับปัญหาคือสิ่งที่สร้างความแตกต่างระหว่างผู้นำกับผู้ที่ไม่ใช่ผู้นำ

          คนคิดบวกจะเข้าไปจัดการกับสถานการณ์ตามความเป็นจริงและพร้อมที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นเพื่อเอาชนะปัญหา ตรงข้ามกับคนคิดลบที่มักจะเครียดและถูกสถานการณ์กดดัน นำไปสู่ความกลัว ความวิตกกังวล ความทุกข์ ความโกรธ และความล้มเหลว

          การพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังอย่างไม่หักโหม เป็นวิธีที่ดีในการกำจัดความคิดและความรู้สึกในแง่ลบ การทำความเข้าใจในความคิดของตนเองและเรียนรู้ว่าอะไรเป็นความคิดลบที่ต้องกำจัดออกไป ถือเป็นกุญแจสำคัญในการฝึกฝนตนให้เป็นคนคิดบวก แต่อาจต้องใช้เวลาอยู่บ้างในการพัฒนาทักษะนี้

          คนคิดบวกจะไม่อารมณ์เสียและแสดงความวิตกกังวลออกมาให้เห็น จะเป็นคนมองชีวิตในแง่ดี มองข้ามความพ่ายแพ้และปัญหาที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวนี้ไป

2. ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence)
                 แนวคิดเรื่องความฉลาดทางอารมณ์เคยคิดกันว่าเป็นทักษะการควบคุมอารมณ์ตนเองให้อยู่ในสถานะปกติ ไม่โกรธเกรี้ยวฉุนเฉียวหรือตอบโต้ จึงเป็นเรื่องของการจัดการกับตนเองเป็นหลัก แต่แนวคิดใหม่จะมองความฉลาดทางอารมณ์ว่าเป็นความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกทั้งของตนเองและของผู้อื่น และสามารถจัดการอารมณ์เหล่านั้นเพื่อสร้างหรือรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกัน

          การเรียนรู้ที่จะเห็นใจผู้อื่น เป็นเรื่องสำคัญของความฉลาดทางอารมณ์ การสื่อสารที่มีประสิทธิผลและการรับฟังปัญหาของผู้อื่นด้วยความเห็นอกเห็นใจ จะช่วยให้คุณสามารถเข้าใจมุมมองของคนอื่นได้อย่างแท้จริง ผู้มีความฉลาดทางอารมณ์ เมื่อพบเห็นผู้ใดมีอารมณ์ที่ไม่ดี จะพยายามทำความเข้าใจในความรู้สึกของผู้นั้นด้วย

          ทักษะ 4 ประการที่จำเป็นของผู้นำ ได้แก่
1) การสร้างวิสัยทัศน์ที่เปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ (Creating an Inspiring Vision of the Future)
                ในทางธุรกิจ วิสัยทัศน์คือ การบรรยายให้เห็นภาพที่คุณต้องการจะเป็นในอนาคต มีโอกาสที่จะเป็นจริงได้ มีความน่าเชื่อถือและดึงดูดใจ ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนจะสามารถกำหนดทิศทาง ลำดับความสำคัญ และเป้าหมายเพื่อที่จะบอกได้ว่าเราได้บรรลุในสิ่งที่ต้องการแล้วหรือยัง

          ในการสร้างวิสัยทัศน์ ผู้นำจะเน้นไปที่จุดแข็งขององค์กรโดยการนำเครื่องมือ เช่น Porter's Five Forces, PEST Analysis, USP Analysis, Core Competence Analysis และ SWOT Analysis มาวิเคราะห์สถานการณ์ที่เป็นอยู่ ผู้นำจะต้องประเมินว่าอุตสาหกรรมที่พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งอยู่ด้วยนั้นน่าจะมีพัฒนาการไปอย่างไร คู่แข่งของพวกเขาน่าจะมีพฤติกรรมเป็นอย่างไร และตัวเขาเองจะสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร แล้วจึงปรับธุรกิจและกลยุทธ์เพื่อให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ผู้นำควรจะทดสอบวิสัยทัศน์ด้วยการทำวิจัยตลาดและโดยการประเมินความเสี่ยงที่สำคัญๆ ซึ่งก็มีเทคนิคที่สามารถนำมาใช้ได้หลายตัว เช่น Scenario Analysis

           ผู้นำจึงเป็นผู้ที่มีวิสัยเชิงรุกในการแก้ไขปัญหา มองไปข้างหน้า และไม่พอใจกับสิ่งที่พวกเขาเป็นอยู่ เมื่อใดที่ผู้นำสร้างวิสัยทัศน์ เขาจะต้องทำวิสัยทัศน์นั้นให้เปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจที่ไม่อาจขัดขืน เป็นวิสัยทัศน์ที่บุคคลอื่นสามารถเห็นได้ภายในจิตใจ รู้สึก เข้าใจ และรับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของความคิดและความเชื่อ ผู้นำที่มีความสามารถ จะให้ภาพอนาคตที่ชัดเจนว่าจะเป็นอย่างไรหากวิสัยทัศน์นั้นทำสำเร็จได้จริง ผู้นำจะเล่า และอธิบายวิสัยทัศน์ในลักษณะที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ซึ่งล้วนมีความหมายอย่างแท้จริงต่อผู้ตาม

2) การจูงใจและสร้างแรงบันดาลใจแก่บุคคล (Motivating and Inspiring People)
                 ผู้นำจะต้องสามารถจูงใจและสร้างแรงบันดาลใจให้บุคคลทั้งหลายมาช่วยกันทำวิสัยทัศน์นั้นให้เป็นจริง โดยปกติแล้วในการเริ่มโครงการใหม่ๆ ทุกคนอาจมีความกระตือรือร้นอย่างมากที่จะทำ จึงไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรที่วิสัยทัศน์ของผู้นำจะได้รับการสนับสนุน แต่สิ่งที่ยากก็คือการรักษาวิสัยทัศน์นั้นให้คงความมีชีวิตชีวาและเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจไปโดยตลอด เมื่อความกระตือรือร้นเริ่มจางหายลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทีมงานหรือองค์กรต้องการเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ผู้นำจะต้องรับรู้ได้ถึงความคิดนี้และจะต้องเชื่อมโยงวิสัยทัศน์ให้เข้ากับความต้องการ เป้าหมาย และความใฝ่ฝันของแต่ละบุคคลได้อย่างเหมาะสมกลมกลืน

          วิธีที่ใช้ได้ผลวิธีหนึ่ง คือ การนำทฤษฎีความคาดหวัง Expectancy Theory มาใช้ด้วยการเชื่อมความคาดหวังสองประการนี้เข้าด้วยกัน คือ
     o ความคาดหวังว่าการทำงานหนักจะนำไปสู่ผลที่ดี
     o ความคาดหวังว่าผลที่ดีจะนำไปสู่รางวัลหรือสิ่งจูงใจที่น่าชื่นชม

    
          สิ่งนี้จะจูงใจบุคคลให้ทำงานหนักเพื่อบรรลุความสำเร็จเพราะพวกเขาคาดหวังที่จะได้รับรางวัลทั้งด้านวัตถุและจิตใจเป็นผลตอบแทน

           นอกจากนั้นผู้นำอาจระบุวิสัยทัศน์ในรูปของผลประโยชน์ที่จะเกิดแก่ทีมงานและหาโอกาสสื่อสารวิสัยทัศน์ด้วยวิธีที่สร้างความรู้สึกผูกพันและน่าชื่นชม ยิ่งหากผู้นำมีคุณสมบัติเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าวด้วยก็จะยิ่งเสริมให้เกิดพลังในการยอมรับ บุคคลมักจะชอบและเชื่อผู้นำที่มีความเชี่ยวชาญในสิ่งที่ทำ ผู้นำเหล่านี้จะมีความน่าเชื่อถือและมีสิทธิที่จะขอให้ผู้คนฟังและเชื่อเขา ความน่าเชื่อถือนี้ช่วยให้ผู้นำสามารถชักจูงและสร้างแรงบันดาลใจผู้ตามหรือทีมงานได้ง่ายขึ้น

          ผู้นำยังสามารถชักจูงและมีอิทธิพลเหนือบุคคลอื่นได้ด้วยบุคลิกภาพของผู้นำตามธรรมชาติของเขาและด้วยอำนาจจากแหล่งอื่น เช่น อำนาจในการจ่ายโบนัสหรืออำนาจในการมอบหมายงานให้แก่บุคคล แต่ผู้นำที่ดีไม่ควรใช้อำนาจเหล่านี้เป็นเครื่องต่อรองเพื่อจูงใจให้ต้องปฏิบัติตาม

3) การจัดการให้วิสัยทัศน์ได้รับการเผยแพร่อย่างทั่วถึงและมีส่วนร่วม (Managing Delivery of the Vision)
                 การรู้ว่าเมื่อไรที่ควรจะบอก เมื่อไรที่ควรจะขายความคิด เมื่อไรจะเข้ามีส่วนร่วม เมื่อไรจะมอบหมายแต่งตั้งตัวแทนให้ดำเนินการแทนตัวเอง และรู้ว่าควรจะใช้วิธีไหน เมื่อไร เป็นกุญแจสำคัญในการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ

           ผู้นำต้องทำให้มั่นใจว่า (1) ได้จัดการเผยแพร่วิสัยทัศน์แล้วอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะด้วยตัวผู้นำเองหรือโดยผู้ที่ผู้นำมอบหมายให้กระทำ โดยทีมงานจำเป็นต้องมีเป้าหมายการปฏิบัติงานที่เชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ของผู้นำ (2) ได้บริหารการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิผลเพื่อให้วิสัยทัศน์ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากคนส่วนใหญ่ที่ได้รับผลจากการนั้น

4) การสอนและสร้างทีมงานเพื่อให้สำเร็จตามวิสัยทัศน์ (Coaching and Building a Team to Achieve the Vision)
          การพัฒนาบุคคลและทีมงานเป็นกิจกรรมสำคัญที่ผู้นำเพื่อการเปลี่ยนแปลงจะต้องดำเนินการ ในการพัฒนาทีมงานนั้น ก่อนอื่นผู้นำต้องเข้าใจในพลวัตของทีมงานโดยผู้นำต้องจัดให้การอบรมและเป็นพี่เลี้ยงให้กับสมาชิกของทีมงานให้มีทักษะและความสามารถที่จำเป็นที่จะทำงานให้บรรลุความสำเร็จตามวิสัยทัศน์ นอกจากนั้นผู้นำยังต้องมองหาศักยภาพด้านผู้นำที่มีอยู่ในบุคคลอื่นด้วย ในการพัฒนาทักษะผู้นำภายในทีมงาน ผู้นำต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่จะสร้างความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในระยะยาว การพัฒนาบุคคลอื่นให้สามารถเป็นผู้นำในงานที่ตนรับผิดชอบได้ด้วยจิตใจที่เปิดกว้างจึงถือว่าเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง

           บทความที่เกี่ยวข้องซึ่งขอแนะนำให้อ่านประกอบ


------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น