ทฤษฎีอารมณ์จากเหตุสองปัจจัย
นักวิจัยได้พยายามค้นหาเหตุผลเพื่ออธิบายว่า อารมณ์ของมนุษย์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร มีผลต่อการสั่งการของสมองหรือสติปัญญาของมนุษย์อย่างไร ทำให้มีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความคิดและอารมณ์เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1960 หลายทฤษฎี ถือเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติใหญ่ทางความคิดด้านจิตวิทยา หนึ่งในทฤษฎีแรกๆ ที่พัฒนาขึ้นมาในช่วงนี้ คือ ทฤษฎีอารมณ์จากเหตุสองปัจจัย (Two-Factor Theory of Emotion) ของนักวิจัยสองท่าน คือ Stanley Schachter และ Jerome E. Singer ซึ่งมีแนวคิดหลักว่า อารมณ์เป็นผลจากการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างสองปัจจัย คือ ความตื่นตัวทางร่างกาย (physiological arousal) กับ การลงความเห็นทางปัญญา (cognitive label) โดยความตื่นตัวทางร่างกายจะได้รับการตีความตามปัญญาหรือความรู้ความเข้าใจของบุคคลในแต่ละสถานการณ์ ส่งผลให้เกิดเป็นอารมณ์หรือความรู้สึก
บุคคลจะตีความสิ่งเร้าตามประสบการณ์ในอดีตของตนเป็นหลัก และอาศัยบริบทของสถานการณ์ในขณะนั้นเป็นส่วนประกอบ เช่น ถ้าคุณไปเห็นงูที่สวนหลังบ้าน งูที่เห็นจะไปกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบประสาทอัตโนมัติ ให้เกิดความตื่นตัวทางร่างกาย สมองจะตีค่า (label) ความตื่นตัวออกมาเป็นความกลัว ความกลัวนี้คืออารมณ์ซึ่งจะมากหรือน้อยเพียงใด ขึ้นกับบริบทหรือเงื่อนไขประกอบ เช่น งูมีขนาดเท่าไร ห่างจากคุณเท่าไร คุณมีอุปกรณ์ป้องกันตัวหรือไม่ เคยมีประสบการณ์การเผชิญหน้ากับงูมาก่อนหรือไม่ ฯลฯ
ลำดับขั้นของการเกิดอารมณ์จึงเริ่มจากการที่บุคคลเกิดความตื่นตัวทางร่างกาย หลังจากนั้นสมองจะหาเหตุผลมาอธิบายความรู้สึก โดยทั่วไปก็โดยใช้ประสบการณ์มาพิจารณาว่าสิ่งที่เข้ามาเร้าให้เกิดความตื่นตัวนั้นคืออะไร มีสิ่งประกอบอื่นเข้ามาเสริมหรือลดค่าของสิ่งเร้านั้นหรือไม่ เพียงใด แล้วจึงเกิดเป็นอารมณ์
เหตุการณ์ >> ความตื่นตัวทางร่างกาย >> การให้เหตุผล >> อารมณ์
อีกตัวอย่างเกี่ยวกับบทบาทของสภาพแวดล้อมที่มีต่อสิ่งเร้า สมมุติว่าคุณกำลังเดินไปที่รถซึ่งจอดอยู่ในที่มืดตามลำพังคนเดียว ทันใดนั้น มีผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งโผล่ออกมาจากแนวต้นไม้ใกล้ๆ และปรี่มาที่คุณ ตามทฤษฎีอารมณ์จากเหตุสองปัจจัยของ Schachter–Singer กระบวนการก่อเกิดอารมณ์จะเริ่มจากสิ่งเร้าภายนอก (ผู้ชายแปลกหน้า) ก่อให้เกิดสิ่งเร้าทางร่างกาย (หัวใจเต้นแรงและตัวสั่น) สมองจะให้เหตุผลตามประสบการณ์ว่าเป็นอันตราย และสั่งการจากการตีความให้เกิดอารมณ์ คือความกลัว
นอกจากกระบวนการการเกิดอารมณ์แล้ว Two-Factor Theory of Emotion ยังอธิบายในลักษณะย้อนศรเพื่อให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างความตื่นตัวทางร่างกายซึ่งเป็นสิ่งเร้า กับการใช้ปัญญาในการหาเหตุผล ให้ชัดเจนขึ้น ดังนี้
อารมณ์ >> การให้เหตุผล >> สาเหตุความตื่นตัวทางร่างกาย
เมื่อมีอารมณ์เกิดขึ้น ร่างกายจะรับรู้ด้วยความรู้สึกที่ตื่นตัว เช่น เมื่อโกรธ ร่างกายจะสั่น หัวใจเต้นเร็วและแรง พูดเสียงดัง บุคคลจะใช้สภาพแวดล้อมที่อยู่ในขณะนั้นเพื่อค้นหาสาเหตุของอารมณ์ (emotional cue) และนำมาใช้อธิบายความรู้สึกตื่นตัวนั้น บุคคลจะสามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้นถ้ารู้สาเหตุหรือเหตุผลที่เกิดสิ่งเร้านั้น แม้ความรู้นั้นจะไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงก็ตาม
Schachter และ Singer ได้ทดสอบทฤษฎีของเขาในปี ค.ศ. 1962 กับนักศึกษาชายจำนวน 184 คน เพื่อศึกษาว่าบุคคลใช้ข้อมูลในสภาพแวดล้อม มาอธิบายการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายอย่างไร ทั้งความรู้สึกตื่นตัวที่เกิดกับร่างกาย และอารมณ์ที่ได้รับการกระตุ้นจากความตื่นตัว Schachter และ Singer มีข้อสมมุติฐานในการทดสอบ 3 ประการ
2) ถ้าบุคคลรับรู้ว่ามีความตื่นตัวขึ้นในร่างกายโดยมีความรู้ความเข้าใจที่สมเหตุสมผล (เช่น ที่รู้สึกเช่นนี้เพราะเพิ่งได้รับการฉีดยามา) เขาก็ไม่น่าที่จะให้เหตุผลของความรู้สึกหรืออารมณ์ของตนไปในทางอื่น
3) ถ้าบุคคลตกอยู่ในสถานการณ์ที่เคยทำให้เขามีอารมณ์ เขาจะแสดงอารมณ์หรือเกิดอารมณ์นั้นอีกเมื่อร่างกายมีความรู้สึกตื่นตัว
ได้รับการฉีด epinephrine หรือ adrenaline และได้รับแจ้งว่าอาจมีผลข้างเคียง เช่น มือสั่น หัวใจเต้นแรง หน้าชาและแดง กลุ่มนี้ได้รับความคาดหวังว่า เมื่อรู้สึกถึงความตื่นตัวทางร่างกายอันเป็นผลจากการได้รับสารกระตุ้นแล้ว เมื่อมีอารมณ์กับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ก็จะเข้าใจได้ว่า อารมณ์ของตนที่เกิดขึ้นนั้น เป็นผลมาจากผลข้างเคียงของยา ทำให้สามารถควบคุมอารมณ์ของตนได้ดีขึ้น
กลุ่มที่สอง (Epinephrine ignorant)
ได้รับการฉีด epinephrine แต่ไม่ได้รับแจ้งว่าจะมีผลข้างเคียงจากการฉีดยาอย่างไร กลุ่มนี้ได้รับความคาดหวังว่า เมื่อไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้ว่าอารมณ์ของตนมีสาเหตุมาจากอะไร ก็จะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนที่เกิดขึ้นได้
กลุ่มที่สาม (Epinephrine misinformed)
ได้รับการฉีด epinephrine และได้รับแจ้งข้อมูลที่เป็นเท็จว่าจะรู้สึกขาชา คันตามร่างกาย และมึนหัวเล็กน้อย กลุ่มนี้ได้รับความคาดหวังว่า เมื่ออาการที่เกิดขึ้นไม่ตรงกับคำที่ได้รับแจ้ง จึงไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายความรู้สึกตื่นตัวของตนได้ การควบคุมอารมณ์จึงไม่น่าต่างจากกลุ่มที่สอง
กลุ่มที่สี่ (Control group)
ได้รับการฉีดยาหลอก (placebo) และไม่ได้รับแจ้งว่าจะมีอาการข้างเคียงใดๆ กลุ่มนี้ถูกใช้เป็นกลุ่มควบคุมเพราะเป็นกลุ่มที่ไม่มีการตื่นตัวทางร่างกาย อารมณ์ไม่ได้ถูกกระตุ้นด้วยอำนาจของยา อารมณ์ที่มีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าจึงไม่ไม่รุนแรงเหมือนสามกลุ่มแรกที่ถูกฉีดสารกระตุ้น
หลังจากฉีดยาให้นักศึกษาครบทุกคนแล้ว ผู้วิจัยได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปพูดคุยกับนักศึกษา แสดงท่าทีโมโหโกรธเคืองบ้าง แสดงอารมณ์เบิกบานมีความสุขบ้าง โดยมีผู้วิจัยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ด้านนอก มองผ่านกระจกที่เห็นจากภายนอกด้านเดียวและให้คะแนนสภาวะอารมณ์ของนักศึกษาเป็นสามลำดับ หลังจากนั้นจึงให้นักศึกษาตอบแบบสอบถามแบบให้คะแนนตั้งแต่ 1-5 (Likert Scale) และวัดการเต้นของหัวใจ
ผลการวิจัยจากการสังเกตและการตอบแบบสอบถาม พบว่า การแสดงท่าทีโกรธเคืองหรือเบิกบานยินดีของนักวิจัย ส่งผลต่อนักศึกษาแต่ละกลุ่มต่างกัน (น้อยสุด = 1, มากสุด = 4)
กลุ่ม | การแสดงออกถึง ความสุข |
การแสดงออกถึง ความโกรธ |
1) Informed | 1 | 1 |
2) Ignored | 3 | 3 |
3) Misinformed | 4 | ไม่มีข้อมูล |
4) Placebo | 2 | 2 |
- ABC Model of Behavior
- Emotional Cycle of Change [Kelley and Conner]
- Emotion Wheel (Robert Plutchik)
- Theory of Emotion [Cannon-Bard]
---------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น